การขับขี่รถยนต์ในช่วงฤดูฝนหรือบนเส้นทางต่างจังหวัดที่มักเป็นทางลูกรัง อาจทำให้ต้องเผชิญกับปัญหารถติดหล่มโดยไม่ทันตั้งตัว แน่นอนว่าสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความตกใจและกังวลให้กับผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีผู้คนหรือสัญญาณโทรศัพท์ Pocket จะมาอธิบายถึงวิธีการรับมือกับปัญหารถติดหล่มทำยังไง รวมถึงเทคนิคการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง การใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ เบอร์โทรฉุกเฉินที่จำเป็นสำหรับการขอความช่วยเหลือ และความคุ้มครองของประกันรถยนต์ในกรณีรถติดหล่ม
อาการ “ติดหล่ม” เป็นอย่างไร
อันดับแรกก่อนเรียนรู้ถึงแนวทางการแก้ปัญหา ควรศึกษาเกี่ยวกับอาการรถติดหล่มก่อน เพื่อให้สามารถวางแนวทางแก้ไขได้อย่างถูกต้อง โดยอาการติดหล่มเป็นสถานการณ์ที่รถยนต์จมลงในพื้นดินที่มีความอ่อนนุ่ม ไม่ว่าจะเป็นดินโคลน ทราย หรือพื้นดินที่เปียกน้ำ ทำให้ล้อรถขุดหลุมขึ้นมาเอง และไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้ ปัญหานี้มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ขับขี่พยายามเร่งเครื่องเพื่อให้รถเคลื่อนที่ แต่กลับทำให้ล้อหมุนฟรีและขุดหลุมให้ลึกลงไปอีก จนในที่สุดท้องรถอาจจะติดพื้นดินและไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อได้
สาเหตุที่ทำให้รถติดหล่ม
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหารถติดหล่มมีหลายประการ โดยปัจจัยสำคัญที่สุดคือลักษณะพื้นผิวถนนและสภาพแวดล้อม โดยพื้นที่เสี่ยงติดหล่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
- พื้นผิวถนนลูกรังที่เปียกแฉะ - โดยเฉพาะถนนในชนบทที่มักเปียกและมีดินนุ่มในช่วงฝนตกหนัก
- พื้นที่การเกษตร - มักมีการไถพรวนเป็นประจำจะมีความอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ จึงเสี่ยงต่อการติดหล่มมากขึ้น
- พื้นที่ชายหาดที่มีพื้นผิวเป็นทราย - เป็นอีกสถานที่เสี่ยงที่รถอาจติดหล่มได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงที่มีคลื่นลมแรง ทรายจะมีทั้งความอ่อนนุ่มและลื่น ทำให้ล้อรถไม่สามารถยึดเกาะได้ดี
ทั้งนี้ ปัจจัยด้านตัวรถยนต์เองก็มีส่วนสำคัญในการเกิดปัญหารถติดหล่มเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
- ประเภทยางรถและสภาพยาง - มีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการยึดเกาะถนน ยางรถที่ไม่เหมาะสมกับสภาพถนน หรือดอกยางที่สึกหรอจะทำให้ล้อหมุนฟรีและจมลงในโคลนได้ง่าย
- แรงดันลมยางที่ไม่เหมาะสม - เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อการยึดเกาะถนน
- น้ำหนักของรถและการกระจายน้ำหนักที่ไม่เหมาะสม - เมื่อรถบรรทุกน้ำหนักมากเกินไปหรือน้ำหนักกระจายไม่สมดุล แรงกดที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ล้อจมลงในพื้นผิวที่อ่อนนุ่มได้ลึกกว่าปกติ
รถติดหล่มทำยังไง? แนะนำ 7 ขั้นตอนรับมือเบื้องต้น
1. ประเมินสถานการณ์ เช็กล้อว่าล้อข้างไหนติดหล่ม
เมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มติดหล่ม สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือการตั้งสติและประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ อย่าตื่นตระหนกและห้ามเร่งเครื่อง เพราะจะทำให้ล้อขุดหลุมลึกลงไปอีก ให้ดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถเพื่อตรวจสอบว่าล้อไหนติดหล่ม ตรวจสอบดูความลึกของหลุม รวมถึงทิศทางความลาดเอียงของพื้นที่
2. ลองเดินหน้า-ถอยหลังช้าๆ
หากตรวจสอบรอบคันและพบว่ารถติดหล่มไม่ลึกมาก ให้ลองทำตามขั้นตอนดังนี้
- ใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ 1 หรือเกียร์ N) เพื่อเดินหน้าและถอยหลังสลับกันช้าๆ
- สร้างแรงเหวี่ยงให้รถแกว่งไปมา
- เมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มขยับ ค่อยๆ เพิ่มความเร็ว
- ในขณะที่เริ่มมีแรงบิด ให้หมุนพวงมาลัยไปมาเล็กน้อยเพื่อให้ล้อหาจุดยึดเกาะ
- เมื่อรู้สึกว่ารถเริ่มขยับและมีจังหวะโยกรถที่เหมาะสม ให้ค่อยๆ เพิ่มความเร็วเพื่อให้รถทะยานออกจากหล่ม
นอกจากนี้ หากรู้สึกว่าล้อรถแข็งจนไม่สามารถปีนขึ้นได้ สามารถปล่อยลมยางออกเล็กน้อย ประมาณ 5-10 PSI จากค่าปกติ เพื่อให้ยางแบนลงและมีพื้นผิวสัมผัสมากขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้ยางกระจายน้ำหนักได้ดีขึ้นและลดการจมลงในพื้นนิ่ม อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังไม่ให้ปล่อยลมออกมากเกินไป เพราะอาจทำให้ยางหลุดจากขอบล้อหรือเสียหายได้ และเมื่อรถหลุดจากหล่มแล้ว อย่าลืมเติมลมยางกลับให้ได้ค่าปกติทันทีก่อนขับต่อไป
3. ใช้เครื่องมือช่วยรถติดหล่ม
ในกรณีที่รถติดหล่มลึกเกินกว่าที่จะเดินหน้า-ถอยหลังได้ แนะนำให้ใช้งานเครื่องมือช่วยรถติดหล่มเพิ่มเติม โดยนำวัสดุมายันใต้ผิวล้อรถ เพื่อเพิ่มผิวสัมผัสและแรงเสียดทานให้กับล้อรถยนต์ให้สามารถเกาะและไต่ออกจากหล่มได้ โดยมีเครื่องมีช่วยรถติดหล่มที่แนะนำให้มีติดรถ เช่น
- แผ่นรองล้อ - สามารถวางใต้ล้อเพิ่มแรงเสียดทาน
- พลั่ว - ขุดดินรอบล้อให้มีพื้นที่เคลื่อนที่ และสามารถใช้รองล้อเพื่อไต่ขึ้นออกจากหล่ม
- เชือกลากจูง - สำหรับดึงรถติดหล่ม โดยผูกเชือกกับรถอีกคัน เพื่อดึงรถที่ติดหล่มออกมา
- แม่แรง - ใช้สำหรับยกรถเพื่อวางวัสดุรองใต้ล้อ
ทั้งนี้ สำหรับใครที่ไม่สะดวกพกอุปกรณ์ต่างๆ ระหว่างการเดินทาง สามารถหาก้อนหิน กิ่งไม้ หรือแผ่นไม้ที่มีขนาดพอดีหรือใหญ่กว่าล้อรถมารองหนุนบริเวณหน้าล้อในแนวขวาง จากนั้นจึงค่อยๆ ขับรถเดินหน้า เพื่อให้ล้อไต่และขึ้นจากหล่ม หรือในอีกทางหนึ่ง สามารถใช้เชือกผูกท่อนไม้ติดกับซี่ล้อในแนวขวาง เมื่อล้อหมุน ไม้จะทำหน้าที่เหมือนขั้นบันไดช่วยดันรถขึ้นจากหล่มได้ในที่สุด
4. ดันรถติดหล่มด้วยกำลังคน
ในกรณีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองตามขั้นตอนข้างต้น แนะนำให้ ขอความช่วยเหลือจากผู้คนในพื้นที่ หรือเพื่อนร่วมถนนที่สัญจรไปมา เพื่อให้มาช่วยดันรถติดหล่ม โดยวิธีการคือ
- ให้ทุกคนยืนที่ตำแหน่งท้ายรถหรือจุดที่แข็งแรงของตัวรถ หลีกเลี่ยงการดันที่กันชนหรือชิ้นส่วนพลาสติก
- ผู้ขับควรนั่งในรถและค่อยๆ เร่งเครื่องพร้อมกับจังหวะที่ทุกคนออกแรงดัน
- แนะนำให้นับ 1-2-3 แล้วออกแรงพร้อมกับเร่งเครื่องยนต์
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ช่วยดันควรระวังโคลนหรือดินทรายที่อาจกระเด็นจากล้อรถ ควรยืนด้านข้างเล็กน้อยหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่สามารถเลอะได้ในระดับหนึ่ง
5. ดึงรถติดหล่มด้วยอุปกรณ์รอก
การดึงรถติดหล่มด้วยอุปกรณ์รอกเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง หากรถยนต์มีหูลากรถอยู่แล้ว สามารถขอความช่วยเหลือจากรถลากจูงที่มีอุปกรณ์รอกได้ทันที โดยให้ดำเนินการ ดังนี้
- ติดผูกสายสลิงกับหูลากรถของรถที่ติดหล่ม ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่บริเวณด้านหน้ารถยนต์
- จากนั้นจึงผูกสายสลิงกับรอกของรถลากจูง พร้อมตรวจสอบความแน่นหนาของการผูก
- ค่อยๆ ใช้รอกดึงพร้อมเดินหน้าช้าๆ เพื่อช่วยผลักรถออกจากหล่ม
วิธีนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการดันรถ และสามารถควบคุมแรงดึงได้ดี จึงถือเป็นหนึ่งวิธีที่เป็นที่แนะนำ หากสามารถติดต่อรถลากจูงหรือมีอุปกรณ์รอกติดรถ
6. การลากรถติดหล่มด้วยรถคันอื่น
หากไม่มีรอกหรืออุปกรณ์ลากจูงเป็นกิจจะลักษณะ สามารถลากรถติดหล่มด้วยรถคันอื่นๆ ได้เช่นกัน โดยควรเลือกรถที่มีแรงดึงหรือแรงบิดสูง เช่น รถกระบะ รถ SUV หรือรถที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) เพราะรถเหล่านี้มีแรงบิดสูงและมีน้ำหนักมากพอที่จะไม่ลื่นไถลขณะลาก โดยมีเทคนิคการลากรถติดหล่ม ดังนี้
- ใช้สลิง เชือก หรือโซ่ที่แข็งแรงพอรับน้ำหนักรถที่ติดหล่ม ผูกกับหูลากรถหรือห่วงลากที่ออกแบบมาเฉพาะ อย่าผูกกับกันชน ท่อไอเสีย หรือชิ้นส่วนที่ไม่แข็งแรงพอ เพราะอาจหลุดและเกิดอันตรายได้
- ในการลาก ให้รถที่ลากค่อยๆ ออกตัวอย่างช้า หลีกเลี่ยงการกระชากหรือเร่งเครื่องแรงเกินไป ส่วนรถที่ถูกลากควรเข้าเกียร์ว่างและคอยควบคุมพวงมาลัยให้ตรง
3 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการดันรถติดหล่ม
หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่า เมื่อรถติดหล่ม ต้องทำสิ่งต่างๆ เช่น เร่งเครื่อง ขย่มรถ หรือขนของออกจากรถให้หมด ทั้งนี้บางความเชื่ออาจเป็นเรื่องที่ไม่จริงหรือไม่สามารถช่วยในการลากรถติดหล่มได้ เพราะการกระทำที่ผิดวิธีอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงและเกิดความเสียหายมากขึ้นโดยมักมีความเชื่อที่แพร่หลาย ได้แก่
1. ยิ่งเร่งเครื่อง ยิ่งออกจากหล่มได้เร็ว
ในความเป็นจริง ไม่ควรเร่งเครื่องแรงเมื่อรถติดหล่ม แม้ว่าสัญชาตญาณจะบอกให้เร่งแรงๆ เพื่อให้รถหลุดออกมา แต่การทำเช่นนี้จะทำให้ล้อหมุนฟรีและขุดหลุมให้ลึกลงไปอีก ทั้งยังเป็นการอัดเศษดินทรายเข้าไปในดอกยาง ทำให้การยึดเกาะแย่ลงกว่าเดิม พูดง่ายๆ ว่า “ยิ่งเร่งมาก รถก็ยิ่งติดหล่มมากขึ้นเท่านั้น”
2. รถติดหล่ม ให้ขนของออกจากรถให้หมด
เคยมีความเข้าใจผิดที่ว่า การถ่ายน้ำหนักออกจากรถทั้งหมดเพื่อให้รถเบาลง หลายคนเชื่อว่าการขนของและให้ผู้โดยสารลงจากรถจะช่วยให้รถหลุดจากหล่มได้ง่ายขึ้น แต่ในความเป็นจริง การลดน้ำหนักไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก นอกจากนี้ บางครั้งน้ำหนักที่เหมาะสมกลับช่วยให้ล้อมีแรงกดที่ดีและยึดเกาะพื้นได้ดีกว่า สิ่งที่ควรทำคือปรับการกระจายน้ำหนักให้เหมาะสมมากกว่า
3. ขย่มรถเพื่อสร้างจังหวะขับออกจากหล่ม
การขย่มรถเพื่อสร้างจังหวะหรือแรงเสียดทานก็เป็นอีกวิธีที่ไม่ได้ผลและอาจเป็นอันตราย การขย่มรถไม่สามารถสร้างแรงเหวี่ยงที่เพียงพอให้รถปีนออกจากหล่มได้ แต่กลับอาจทำให้รถติดหล่มลึกลงหรือทำให้ระบบกันสะเทือน เช่น สปริง โช้คอัพ แหนบ ทอร์ชั่นบาร์ และปีกนก เสียหายได้ นอกจากนี้ การปล่อยลมยางออกมากเกินไปก็เป็นสิ่งที่ควรระวัง แม้ว่าการปล่อยลมเล็กน้อยจะช่วยเพิ่มพื้นผิวสัมผัส แต่หากปล่อยลมออกมากเกินไปอาจทำให้ยางหลุดจากขอบล้อหรือขับต่อไม่ได้
รถติดหล่มควรโทรหาใครดี? ติดต่อหน่วยงานไหนได้บ้าง
เมื่อพยายามทุกวิธีแล้วยังไม่สามารถนำรถออกจากหล่มได้ หรืออยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเกินกว่าจะแก้ไขด้วยตัวเอง การ ขอความช่วยเหลือรถติดหล่มจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แนะนำให้ติดต่อ กรมทางหลวงชนบท หมายเลข 1146 ซึ่งเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง มีทีมงานและอุปกรณ์พร้อมช่วยเหลือในพื้นที่ต่างๆ
สำหรับผู้ที่มีประกันรถยนต์ สามารถติดต่อตัวแทนบริษัทประกันเพื่อใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน (Roadside Assistance) ซึ่งเป็นบริการที่รวมอยู่ในประกันรถยนต์ชั้น 1 ของบริษัทประกันภัยส่วนใหญ่ ซึ่งบริการนี้ครอบคลุมการยกรถ ลากรถจากสถานที่เกิดเหตุไปยังอู่ซ่อมใกล้เคียงหรือสถานที่ปลอดภัย โดยอาจมีหรือไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามเงื่อนไขที่ระบุในกรมธรรม์
รถติดหล่มประกันคุ้มครองไหม รถเสียหายเคลมประกันได้หรือไม่
คำถามสำคัญที่ผู้ขับขี่หลายคนสงสัยคือ หากรถติดหล่ม ประกันรถยนต์จะมอบความคุ้มครองอย่างไรบ้าง คำตอบขึ้นอยู่กับประเภทของประกันรถยนต์ที่ทำไว้ โดยแต่ละชั้นจะมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ดังนี้
ประกันรถยนต์ชั้น 1
ให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุดสำหรับกรณีรถติดหล่ม ไม่ว่าจะเป็นการติดหล่มจากการขับขี่ผิดพลาด การหลุดถนน หรืออุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณี โดยประกันรถยนต์ชั้น 1 จะครอบคลุมทั้งค่าบริการรถยกหรือการดึงรถขึ้นจากหล่ม รวมถึงค่าซ่อมแซมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อช่วงล่าง ใต้ท้องรถ หรือส่วนอื่นๆ ที่เกิดจากการติดหล่ม นอกจากนี้ยังมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงที่พร้อมส่งทีมงานมาช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ
ประกันรถยนต์ชั้น 2+
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ จะคุ้มครองในกรณีที่รถติดหล่มจากอุบัติเหตุที่มีการชนกับยานพาหนะทางบก แต่หากรถติดหล่มเองโดยไม่มีคู่กรณี บริษัทประกันภัยอาจไม่ครอบคลุมความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม บางบริษัทประกันอาจมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นบริการเสริม ดังนั้น ควรตรวจสอบเงื่อนไขให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจซื้อประกันรถยนต์
ประกันรถยนต์ชั้น 3+
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ มอบความคุ้มครองคล้ายกับประกันชั้น 2+ คือ คุ้มครองเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณีเท่านั้น หากรถติดหล่มเองจะไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ
ปัญหารถติดหล่มเป็นสถานการณ์ที่ผู้ขับขี่ทุกคนอาจต้องเผชิญ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีสภาพภูมิอากาศและสภาพถนนที่หลากหลาย การทำความเข้าใจการรับมือกับปัญหานี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ตั้งแต่การประเมินสถานการณ์ การเลือกวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคนิคขับขี่ การใช้เครื่องมือช่วยรถติดหล่ม หรือดันรถติดหล่ม ด้วยวิธีต่างๆ รวมถึงการรู้ว่า รถติดหล่มโทรหาใคร เมื่อต้องการขอความช่วยเหลือ ซึ่งสามารถติดต่อได้ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศูนย์รถยนต์ หรือบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติและไม่ตื่นตระหนก การตัดสินใจที่รวดเร็วแต่รอบคอบจะช่วยให้คุณผ่านพ้นสถานการณ์ได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังช่วยให้วางแผนและตัดสินใจได้ดีขึ้น การเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ทั้งในด้านอุปกรณ์ ความรู้ และการมีประกันรถยนต์ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณมั่นใจและปลอดภัยในทุกการเดินทาง
Pocket by LMG ขอนำเสนอแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ในราคาดี คุ้มค่า ซื้อง่ายและรวดเร็ว ทั้งประกันรถยนต์ชั้น 1 ประกันรถยนต์ชั้น 2+ และประกันรถยนต์ชั้น 3+ เรายินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างอุ่นใจ สามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ พร้อมเปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com หรือโทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า