เมื่อพูดถึงการดูแลรถยนต์ สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามไปไม่ได้คือการติดตั้งฟิล์มรถยนต์ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความร้อนและรังสี UV ที่เข้ามาในห้องโดยสารแล้ว ยังช่วยป้องกันกระจกจากรอยขีดข่วนและเพิ่มความเป็นส่วนตัวขณะอยู่บนท้องถนนอีกด้วย ซึ่งในสภาพอากาศของประเทศไทยที่ร้อนตลอดทั้งปี ฟิล์มรถยนต์ถือเป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าควรเลือกฟิล์มแบบไหนดี ความเข้มฟิล์มรถยนต์ตามกฎหมายเป็นอย่างไร และหากฟิล์มรถยนต์เป็นรอย ประกันจ่ายไหม บทความนี้จะมาตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจน

ฟิล์มรถยนต์มีกี่ประเภท?
ในการเลือกฟิล์มรถยนต์ให้เหมาะสมกับความต้องการ อันดับแรกคือการทำความเข้าใจฟิล์มประเภทต่างๆ ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
1. ฟิล์มติดรถยนต์แบบกรองแสงปกติ (Dyed Window Tints)
ฟิล์มรถยนต์ประเภทนี้เป็นแบบพื้นฐานที่สุด มีราคาไม่แพงและป้องกันรังสี UV ได้ในระดับหนึ่ง สามารถลดความร้อนจากแสงแดดได้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ฟิล์มชนิดนี้มักมีอายุการใช้งานไม่นานนัก เมื่อใช้ไประยะหนึ่งสีของฟิล์มจะซีดลงหรือเปลี่ยนเป็นสีม่วง และอาจไม่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดกับกระจกได้ดีนัก
2. ฟิล์มติดรถยนต์แบบปรอท (Metallized Window Tints)
ฟิล์มรถยนต์แบบปรอทโดดเด่นด้วยความแวววาวและความสามารถในการกันความร้อนและรังสี UV ได้ดี เนื้อฟิล์มมีความแข็งแรงทนทานและสามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี อย่างไรก็ตาม ฟิล์มชนิดนี้อาจส่งผลกระทบต่อสัญญาณของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น GPS หรือ Easy Pass และที่สำคัญคือ กฎหมายติดฟิล์มรถยนต์ในประเทศไทยไม่อนุญาตให้ติดฟิล์มปรอทที่มีค่าสะท้อนแสงสูง เนื่องจากอาจรบกวนทัศนวิสัยของผู้ขับขี่คนอื่น
3. ฟิล์มติดรถยนต์แบบไฮบริด (Hybrid Window Tints)
ฟิล์มรถยนต์แบบไฮบริดเป็นการผสมผสานระหว่างฟิล์มย้อมสีและฟิล์มเมทัลไลซ์ ซึ่งมีส่วนผสมของโลหะในชั้นฟิล์มที่ช่วยให้กรองแสงได้ดี ไม่ซีดง่าย และป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี แม้จะมีคุณสมบัติที่ดีแต่ฟิล์มไฮบริดมักมีราคาสูงจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
4. ฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอน (Carbon Window Tints)
ฟิล์มรถยนต์ แบบคาร์บอนหรือนาโนคาร์บอนมีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงและความร้อนได้ดี มีความทนทานสูงและป้องกันรอยขีดข่วนได้ดี แต่ข้อเสียคือมีราคาสูงและอาจกักเก็บความร้อนได้ดีเกินไปสำหรับสภาพอากาศในประเทศไทย
5. ฟิล์มติดรถยนต์แบบเซรามิก (Ceramic Window Tints)
ฟิล์มรถยนต์แบบเซรามิกเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในวงการฟิล์มกรองแสง ให้ความโปร่งใสสบายตา ดำนอกสว่างใน ทำให้รถดูโปร่งโล่งไม่อึดอัด สามารถป้องกันความร้อนและกรองรังสี UV ได้มากถึง 99% อีกทั้งเนื้อฟิล์มมีความแข็งแรงทนทาน แม้จะมีราคาสูงกว่าฟิล์มประเภทอื่น แต่ด้วยประสิทธิภาพและความทนทาน จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาว
ข้อดีของการติดฟิล์มรถยนต์
การติดฟิล์มรถยนต์ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ให้ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์มากมายดังนี้
- ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในรถ - แสงแดดและความร้อนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุปกรณ์และวัสดุภายในห้องโดยสารเสื่อมสภาพเร็ว โดยเฉพาะชิ้นส่วนพลาสติกและเบาะหนัง ซึ่งฟิล์มรถยนต์จะช่วยป้องกันและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถได้นานยิ่งขึ้น
- ให้ความเป็นส่วนตัวและปรับทัศนวิสัยในการขับขี่ - ฟิล์มรถยนต์ที่มีความเข้มเหมาะสมจะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวและช่วยลดแสงจ้าจากไฟหน้ารถคันอื่นในเวลากลางคืน ทำให้การขับขี่สบายตาและปลอดภัยมากขึ้น
- ลดความร้อนและป้องกันรังสี UV - รังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง ฟิล์มรถยนต์สามารถลดปริมาณรังสี UV ที่ทะลุผ่านกระจกเข้ามาได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนังและช่วยถนอมผิวของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับขี่ในช่วงเวลากลางวันที่แดดจัด
- รักษาความเย็นและลดการใช้เชื้อเพลิง - ฟิล์มรถยนต์ช่วยป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้ามาในรถ ทำให้อุณหภูมิภายในรถเย็นลง ช่วยให้ระบบปรับอากาศไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
- ช่วยป้องกันไม่ให้กระจกแตกกระเด็นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ - ฟิล์มรถยนต์คุณภาพดีมีความเหนียวของเนื้อฟิล์มที่ช่วยยึดกระจกไม่ให้แตกกระจายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสาร
กฎหมายติดฟิล์มรถยนต์ในประเทศไทย
หลายคนอาจสงสัยว่ากฎหมายติดฟิล์มรถยนต์ในประเทศไทยมีข้อกำหนดอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องความเข้มของฟิล์มรถยนต์ ซึ่งในอดีต การติดฟิล์มที่มีความเข้ม 80% นั้นถือว่าผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันได้มีการยกเลิกการใช้ข้อกำหนดดังกล่าวในประเทศไทยไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 อย่างไรก็ตาม ยังมีฟิล์มบางประเภทที่ยังคงผิดกฎหมายอยู่ นั่นคือ ฟิล์มปรอทที่มีค่าสะท้อนแสงสูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ขับขี่คนอื่นเนื่องจากทำให้เกิดแสงสะท้อนที่รบกวนทัศนวิสัย
ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 12 ระบุว่า ห้ามติดตั้งสิ่งใดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของผู้อื่น หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามมาตรา 60 คือปรับไม่เกิน 2,000 บาท ดังนั้นการติดฟิล์มปรอทที่สะท้อนแสงสูงจึงเข้าข่ายผิดกฎหมาย
สรุปคือ ปัจจุบันการติดฟิล์มรถยนต์ที่มีความเข้มสูง 80% นั้นถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่การติดฟิล์มปรอทที่มีค่าสะท้อนแสงสูงจนรบกวนผู้ขับขี่คนอื่นยังคงผิดกฎหมายอยู่
ฟิล์มรถยนต์เป็นรอย ประกันจ่ายไหม?
หลายคนสงสัยว่าเมื่อฟิล์มรถยนต์เป็นรอยประกันจ่ายไหม คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันรถยนต์ที่ทำไว้และสาเหตุของความเสียหาย
กรณีที่ฟิล์มรถยนต์เกิดรอยหรือความเสียหายนั้นถือเป็นอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น หินดีดใส่กระจกรถ หรือลูกเห็บตกใส่ จะได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น โดยผู้เอาประกันจะต้องแจ้งรุ่นฟิล์มไว้กับบริษัทประกันในตอนที่ซื้อประกันรถยนต์ หรือหากเปลี่ยนฟิล์มใหม่หลังจากทำประกันแล้ว จะต้องมีหลักฐานยืนยันว่าติดฟิล์มรุ่นใด และติดตั้งเมื่อวันที่เท่าไหร่ ส่วนประกันรถยนต์ ประเภทอื่นๆ เช่น ประกันชั้น 2+ หรือ 3+ จะไม่ครอบคลุมความเสียหายกรณีอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี ดังนั้นหากต้องการความคุ้มครองในส่วนนี้ การทำประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความครอบคลุมมากที่สุด
ทั้งนี้ หากฟิล์มเกิดความเสียหายจากการเสื่อมสภาพ เช่น ฟิล์มเปลี่ยนสี เกิดฟองอากาศ เป็นรอยย่นหรือยับ หรือมีกลิ่นเหม็นออกมาจากตัวฟิล์ม กรณีเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ซึ่งประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครอง แต่สามารถเคลมกับตัวแทนจำหน่ายหรือบริษัทผู้ผลิตฟิล์มได้ หากยังอยู่ในระยะเวลาการรับประกัน ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 5-7 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อฟิล์มรถยนต์
การเลือกติดฟิล์มรถยนต์ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับรถยนต์ แต่ยังมีประโยชน์มากมายทั้งในแง่ของการป้องกันความร้อน รังสี UV การเพิ่มความเป็นส่วนตัว และการปกป้องทรัพย์สินภายในรถ ซึ่งปัจจุบันนั้นมีฟิล์มหลากหลายแบรนด์ที่เจ้าของรถสามารถเลือกได้ตามความต้องการ ทั้งนี้ หากเกิดกรณี ฟิล์มรถยนต์เป็นรอยจากอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี เช่น หินดีดใส่ ประกันรถยนต์ชั้น 1 จะให้ความคุ้มครองและสามารถเคลมค่าเสียหายได้ แต่ต้องแจ้งรายละเอียดของฟิล์มไว้กับบริษัทประกันด้วย
หากคุณกำลังมองหาประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือประกันภัยรถประเภทอื่นๆ Pocket ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่ตอบโจทย์ เพื่อให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างอุ่นใจ โดยสามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com หรือโทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า