รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทยตลอดช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา สังเกตได้จากจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีมากขึ้นตามท้องถนน เนื่องจากเป็นทางเลือกที่ทั้งประหยัดและช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เมื่อใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า สิ่งที่หลายคนกังวลคือเมื่อรถไฟฟ้าแบตหมดกลางทางจะเกิดอะไรขึ้น และมีวิธีจัดการอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำและวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินในลักษณะดังกล่าว เพื่อให้คุณขับขี่รถ EV ได้อย่างมั่นใจในทุกเส้นทาง

รถไฟฟ้าแบตหมดกลางทางจะเกิดอะไรขึ้น?
เป็นที่ทราบกันดีว่า รถยนต์ EV นั้นขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดยทั่วไปรถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 300 - 500 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ขึ้นอยู่กับรุ่นรถและขนาดแบตเตอรี่ ทั้งนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเหลือ 0% รถจะดับทันทีหรือไม่ หากอ้างอิงจากประสบการณ์ของผู้ใช้งาน พบว่ารถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มีพลังงานสำรองที่ช่วยให้สามารถขับต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้แบตเตอรี่หมดอาจส่งผลเสียต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในระยะยาว
วิธีรับมือเมื่อรถไฟฟ้าแบตหมดกลางทาง
เมื่อเกิดเหตุการณ์ รถไฟฟ้าแบตหมดระหว่างเดินทางหรืออยู่กลางถนน ผู้ขับขี่สามารถแก้ไขสถานการณ์เบื้องต้นได้ ดังนี้
1. ตั้งสติและจอดรถในที่ปลอดภัย
สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่รถไฟฟ้าเหลือน้อย หรือตัวรถแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด คือ การตั้งสติและไม่ตื่นตระหนก จากนั้นมองหาจุดจอดรถที่ปลอดภัย เช่น ไหล่ทาง หรือบริเวณริมถนนที่สามารถประคองรถเข้าไปจอดได้ เพื่อประเมินสถานการณ์และหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป
2. ตรวจสอบระยะทางที่เหลืออยู่
เมื่อจอดรถในที่ปลอดภัยแล้ว ให้ตรวจสอบที่หน้าปัดรถยนต์ว่าแบตเตอรี่เหลืออยู่เท่าไร รถมีกำลังขับเคลื่อนหรือไม่ และสามารถวิ่งต่อไปได้อีกกี่กิโลเมตร จากนั้นให้ค้นหาปั๊มน้ำมันที่มีสถานีชาร์จไฟฟ้าหรือจุดชาร์จไฟฟ้าในระยะใกล้เคียง ผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Evolt, EA Anywhere, PlugShare, Go To-U ที่สามารถช่วยระบุตำแหน่งสถานีชาร์จที่ใกล้ที่สุดได้
3. ใช้งานโหมดประหยัดพลังงาน
หากพบว่ามีสถานีชาร์จอยู่ไม่ไกลและสามารถขับรถต่อไปได้ ให้เปิดใช้โหมดประหยัดพลังงาน (Eco Mode) เพื่อประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ควรลดการใช้พลังงานในส่วนอื่นๆ ของรถ เช่น ปิดเครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ ที่ไม่จำเป็น เพื่อยืดระยะทางการขับขี่ให้มากที่สุด จนไปถึงสถานีชาร์จไฟฟ้าได้
4. ติดต่อขอความช่วยเหลือในกรณีไม่สามารถขับรถต่อได้
ในกรณีที่แบตเตอรี่หมดจนรถไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ แนะนำให้ติดต่อขอความช่วยเหลือตามช่องทางต่างๆ เช่น
- ศูนย์บริการรถยนต์ - ศูนย์รถยนต์บางแห่งอาจมีบริการช่วยเหลือ หากรถยนต์ยังอยู่ในการรับประกัน
- บริการรถลากจูงหรือรถสไลด์ - เพื่อยกรถไปส่งในสถานีชาร์จไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด หรือนำไปส่งที่บ้าน
- แจ้งบริษัทประกันภัย - ประกันรถยนต์ที่ทำไว้ มักมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน EV สำหรับกรณีรถเสียหรือแบตเตอรี่หมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคุ้มครองตามกรมธรรม์
ดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างไร ให้มีอายุการใช้งานยาวนาน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือการป้องกันก่อนเกิดเหตุ นอกจากการหมั่นเช็กระดับแบตเตอรี่แล้ว การดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ EV อย่างเหมาะสมยังมีส่วนช่วยยืดอายุการใช้งานและลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์รถไฟฟ้าแบตหมดกลางทางได้ ซึ่ง Pocket ได้รวบรวมข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100%
แม้การชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% จะดูเป็นเรื่องปกติ แต่การทำแบบนี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เนื่องจากมี “กระแสไฟฟ้า” ถูกอัดอยู่เต็มความจุ ทำให้เกิดความเครียดหรือ Stress ในแบตเตอรี่ ดังนั้นจึงแนะนำให้ชาร์จอยู่ที่ประมาณ 80% และรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20% - 80% เพื่อยืดอายุการใช้งาน
2. ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือ 0%
การปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือ 0% เป็นบ่อยครั้ง จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ควรชาร์จเมื่อเหลือประมาณ 20% เพื่อรักษาประสิทธิภาพแบตเตอรี่
3. หลีกเลี่ยงการจอดกลางแจ้งหรือสัมผัสแสงแดดนานๆ
การจอดรถยนต์ไฟฟ้าไว้กลางแดดเป็นเวลานานจะทำให้หม้อแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ควรเลือกจอดรถยนต์ในที่ร่มหรือใต้อาคาร ไม่ว่าจะจอดรถเฉยๆ หรือจอดเพื่อชาร์จไฟฟ้าก็ตาม
4. ไม่ควรชาร์จเร็ว (Fast Charge) บ่อยเกินไป
การชาร์จรถยนต์แบบปกติ (AC) มักใช้เวลานานหลายชั่วโมง หลายคนจึงเลือกการชาร์จเร็ว (DC) แทน เพื่อประหยัดเวลา ทั้งนี้ การชาร์จเร็วบ่อยๆ จะทำให้แบตเตอรี่มีความร้อนสูงและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทางที่ดีควรใช้การชาร์จแบบปกติ (AC) ในการใช้งานประจำวัน และชาร์จเร็วในกรณีออกเดินทางไกลหรือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการวางแผนที่ดี โดยเฉพาะการเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ รถไฟฟ้าแบตหมดกลางทาง พร้อมศึกษาวิธีรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ดูแลรักษาแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี และเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่จะช่วยให้ใช้งานรถ EV ได้อย่างมั่นใจและไร้กังวลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แล้วนอกจากนี้ การเลือกบริษัทประกันที่เข้าใจความต้องการของรถ EV และมีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา
หากสนใจทำประกันรถยนต์ Pocket ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่เหมาะสม โดยสามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com/ หรือ โทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า