ไขข้อสงสัย ขับรถชนต้นไม้เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ประกันคุ้มครองหรือเปล่า

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับรถชนต้นไม้ข้างทาง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากความประมาท หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งนี้ คำถามที่ตามมาคือ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ? แล้วประกันรถยนต์จะคุ้มครองในกรณีนี้หรือไม่? ในบทความนี้ Pocket จะพาคุณไปไขทุกข้อสงสัย

ไขข้อสงสัย ขับรถชนต้นไม้เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ประกันคุ้มครองหรือเปล่า

ขับรถชนต้นไม้ทำอย่างไร ต้องรับผิดชอบหรือไม่

การขับรถชนต้นไม้ข้างทางอาจดูเหมือนเป็นเหตุการณ์ทั่วๆ ไปที่หลายคนมักไม่นึกถึง แต่ในหลายกรณี หากขับรถชนต้นไม้ ผู้ขับขี่อาจต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้สาธารณะหรือต้นไม้ในพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ 

1. ค่าซ่อมรถยนต์ตนเอง: หากรถยนต์ได้รับความเสียหาย ผู้ขับขี่จะต้องรับผิดชอบค่าซ่อมแซมรถยนต์ของตนเอง

2. ค่าเสียหายต่อต้นไม้: หากต้นไม้ได้รับความเสียหาย เช่น หัก ล้ม หรือเสียหายอย่างรุนแรง ผู้ขับขี่อาจต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับเจ้าของต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือบุคคลธรรมดา

3. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: กรณีที่มีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การเคลื่อนย้ายต้นไม้หรือรถยนต์

ในบางกรณี ประกันรถยนต์อาจช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้ หากผู้ขับขี่ได้ทำประกันที่ครอบคลุมกรณีชนต้นไม้ข้างทางไว้ แต่ประกันรูปแบบไหนบ้างที่ครอบคลุมเหตุการณ์ดังกล่าว มาดูกัน

ซื้อประกันรถยนต์กับ Pocket คุ้มค่าสุดๆ

ประกันชั้นไหนครอบคลุมกรณีชนต้นไม้

การมีประกันรถยนต์มีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะในกรณีที่ครอบคลุมความเสียหายหรืออุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันต่างๆ อย่างการชนต้นไม้ แต่ก็ไม่ใช่ประกันทุกชั้นที่จะครอบคลุมเหตุการณ์ดังกล่าว ประกันแต่ละชั้นย่อมให้การคุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนี้

ประกันรถยนต์ชั้น 1

  • ความคุ้มครอง: ครอบคลุมทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ รวมถึงการชนต้นไม้ข้างทาง ไม่ว่าผู้ขับขี่จะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่
  • รายละเอียด:
    • คุ้มครองค่าซ่อมรถยนต์ของผู้เอาประกัน
    • คุ้มครองค่าความเสียหายต่อต้นไม้หรือทรัพย์สินที่ได้รับผลกระทบ
    • คุ้มครองอุบัติเหตุอื่นๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือรถสูญหาย
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุดและไม่ต้องการกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

ประกันรถยนต์ชั้น 2+

  • ความคุ้มครอง: มักคุ้มครองเฉพาะอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี เช่น รถชนรถ
  • รายละเอียด:
    • คุ้มครองค่าซ่อมรถยนต์ในกรณีที่ชนกับรถยนต์คันอื่น
    • ไม่คุ้มครองในกรณีชนต้นไม้
    • คุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองที่พอเพียงและค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าชั้น 1

ประกันรถยนต์ชั้น 2

  • ความคุ้มครอง: คล้ายกับประกันชั้น 2+ แต่จะไม่คุ้มครองค่าซ่อมรถยนต์ในกรณีชนกับรถคันอื่น
  • รายละเอียด:
    • คุ้มครองกรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้
    • ไม่คุ้มครองกรณีชนต้นไม้
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีงบประมาณจำกัดและใช้งานรถไม่มาก

ประกันรถยนต์ชั้น 3+

  • ความคุ้มครอง: คุ้มครองเฉพาะกรณีที่มีคู่กรณีและชนกับรถยนต์คันอื่น
  • รายละเอียด:
    • คุ้มครองค่าซ่อมรถยนต์ของคุณเฉพาะกรณีชนกับรถคันอื่น
    • ไม่คุ้มครองในกรณีชนต้นไม้หรือชนสิ่งของอื่นๆ
    • คุ้มครองความเสียหายของรถคู่กรณีและชีวิตบุคคลภายนอก
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองในกรณีที่มีคู่กรณี แต่ไม่ต้องการจ่ายค่าเบี้ยสูง

ประกันรถยนต์ชั้น 3

  • ความคุ้มครอง: ให้ความคุ้มครองขั้นต่ำสุด โดยเน้นคุ้มครองคู่กรณี
  • รายละเอียด:
    • คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของคู่กรณีในกรณีชนรถคันอื่น
    • ไม่คุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยในทุกกรณี รวมถึงกรณีชนต้นไม้
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการจ่ายค่าเบี้ยประกันต่ำที่สุด และรถยนต์มีอายุการใช้งานนาน

หากคุณต้องการความอุ่นใจในทุกสถานการณ์ รวมถึงเหตุการณ์การชนต้นไม้ การซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ส่วนประกันภัยชั้นอื่นๆ แทบไม่ครอบคลุมเลยนั่นเอง

ขับชนต้นไม้แล้วไม่ได้แจ้งใคร มีผลอะไรไหม?

ในบางสถานการณ์ หลังจากที่เกิดเหตุชนต้นไม้ บางคนอาจไม่ได้แจ้งตำรวจหรือบริษัทประกันทันทีเพราะความตกใจ หรือเข้าใจผิดว่าปัญหานั้นไม่ร้ายแรงพอที่จะต้องแจ้ง แต่รู้หรือไม่ว่า การไม่แจ้งใครเลยอาจส่งผลกระทบในภายหลัง หากคุณอยู่ในสถานการณ์นี้ Pocket ขอแนะนำขั้นตอนที่ควรทำเบื้องต้น ดังนี้

1. รวบรวมหลักฐานที่เหลืออยู่

หากมีโอกาส ให้กลับไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อถ่ายภาพสถานที่ ต้นไม้ที่ได้รับความเสียหาย และร่องรอยบนรถยนต์ของคุณ รวมถึงเก็บใบเสร็จค่าซ่อมรถยนต์หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นหลักฐานสำคัญ

2. ติดต่อบริษัทประกันภัยโดยเร็วที่สุด

หากคุณมีประกันที่ครอบคลุมการชนต้นไม้ แม้ว่าจะไม่ได้แจ้งในทันที ก็ยังสามารถแจ้งบริษัทประกันภัยได้ โดยอาจต้องชี้แจงเหตุผลที่ไม่ได้แจ้งตอนเกิดเหตุ ซึ่งบริษัทประกันบางแห่งนั้นยินดีรับเคลม หากผู้เอาประกันมีหลักฐานเพียงพอและอยู่ในกรอบเวลาที่กรมธรรม์ระบุไว้

3. ตรวจสอบความเสียหายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

หากต้นไม้เป็นทรัพย์สินสาธารณะ อาจต้องชำระค่าชดเชยให้กับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง แต่หากเป็นการขับชนต้นไม้ในพื้นที่ส่วนตัว ก็สามารถติดต่อเจ้าของต้นไม้หรือผู้ดูแลพื้นที่ดังกล่าวได้โดยตรง ชี้แจงเหตุการณ์ และไกล่เกลี่ยค่าเสียหายต่อไป

4. เรียนรู้และปรับปรุงสำหรับอนาคต

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การหลีกเลี่ยงไม่แจ้งเหตุอาจทำให้เกิดผลเสียภายหลัง ซึ่งผู้เอาประกันอาจเสียสิทธิ์บางอย่างในการเคลมประกัน ดังนั้นควรมีการวางแผนรับมือในอนาคต เช่น การบันทึกเบอร์โทรฉุกเฉินของบริษัทประกัน และศึกษาวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง

5. หลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมาย

หากพบว่าการชนต้นไม้ทำให้เกิดความเสียหายที่ร้ายแรง การหลีกเลี่ยงไม่แจ้งอาจถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย นอกเหนือจากในด้านจริยธรรม ผู้ขับขี่อาจถูกเรียกค่าปรับย้อนหลัง หรืออาจมีการดำเนินคดีเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยิ่งมีความเสียหายมาก ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะถูกติดตามหรือเรียกชดใช้มากขึ้น ซึ่งการติดต่อผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อดำเนินการเจรจาหรือไกล่เกลี่ยจึงเป็นข้อปฏิบัติที่ปลอดภัยและดีต่อตัวผู้ขับขี่เองที่สุด

การแจ้งเหตุทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุสามารถช่วยได้อย่างยิ่ง ผู้ขับขี่โดยเฉพาะผู้ขับขี่ที่ไม่มีประกันที่ครอบคลุมอาจรู้สึกกลัวหรือกังวลถึงค่าใช้จ่ายๆ แต่อย่าลืมไปว่าการแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องก็อาจไกล่เกลี่ยหรือจบลงด้วยดีได้ ส่วนผู้ที่มีประกันที่ครอบคลุม ยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องแจ้งผู้ที่เกี่ยวข้องและบริษัทประกันภัยทันที เพื่อให้สามารถเคลมประกันได้อย่างถูกต้องและครอบคลุม

เคล็ดลับจาก Pocket สิ่งที่ควรทำเมื่อขับรถชนต้นไม้

1. ตั้งสติและตรวจสอบความปลอดภัย

หากขับรถชนต้นไม้ข้างทาง อันดับแรกให้สำรวจตัวเองและผู้โดยสารว่าปลอดภัยหรือไม่ และหากมีผู้บาดเจ็บ ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น (ในกรณีที่ทำได้) และรีบติดต่อรถพยาบาลทันที

2. แจ้งตำรวจและบริษัทประกันภัย

การแจ้งตำรวจเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขับรถชนต้นไม้ในพื้นที่สาธารณะ และควรติดต่อบริษัทประกันรถยนต์ทันที เพื่อขอคำแนะนำ และดำเนินการเคลมประกันตามเงื่อนไขกรมธรรม์

3. เก็บหลักฐาน

ถ่ายภาพความเสียหายของรถยนต์และต้นไม้ รวมถึงสถานที่เกิดเหตุ เพื่อใช้ประกอบในการเคลมประกัน

4. ให้ความร่วมมือและไม่พยายามหลบหนี

การหลบหนีอาจไม่ได้ช่วยให้ผู้ขับขี่พ้นจากความเสียหายที่เกิดขึ้น การติดต่อกับผู้ที่เกี่ยวข้องอาจช่วยได้มากกว่า ทั้งการพิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้นในทันที โอกาสในการไกล่เกลี่ยเจรจา และการลดความกังวลด้านต่างๆ

แนะนำ เปรียบเทียบประกันรถยนต์เพื่อให้ได้การคุ้มครองที่ใช่

การเปรียบเทียบประกันรถยนต์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกกรมธรรม์ที่เหมาะสมและคุ้มค่า ตลอดจนมองเห็นตัวเลือกการซื้อประกันต่างๆ เช่น ประกันรถยนต์ออนไลน์ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สะดวกและรวดเร็ว และยังสามารถให้การคุ้มครองได้เทียบเท่าการซื้อในรูปแบบปกติ 

แม้ในพื้นฐาน การคุ้มครองแต่ละแห่งจะมีรายละเอียดที่คล้ายกัน แต่บริษัทประกันภัยบางแห่งอาจมอบความคุ้มครองเพิ่มเติมที่ผู้เอาประกันสามารถใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น เมื่อถึงเวลาต้องซื้อประกัน นอกจากเรื่องการคุ้มครองทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรเปรียบเทียบดูรายละเอียดของประกันแต่ละแห่งด้วย

การขับรถชนต้นไม้ข้างทางอาจดูเป็นเหตุการณ์ไกลตัว แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกครั้งที่ใช้รถใช้ถนน ดังนั้นการมีความรู้เกี่ยวกับความรับผิดชอบและความคุ้มครองของประกันรถยนต์สามารถช่วยให้ผู้ขับขี่รับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจ หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงในการชนต้นไม้หรือสิ่งของต่างๆ อย่าลืมเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่ครอบคลุม อย่างประกันรถยนต์ชั้น 1 เพื่อความคุ้มครองที่คุ้มค่า และอย่าลังเลที่จะติดต่อหน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการชนต้นไม้หรือสิ่งของต่างๆ

หากคุณกำลังมองหาประกันยนต์ที่ใช่ ให้การคุ้มครองที่ครบครันในราคาที่คุ้มค่า Pocket พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างอุ่นใจ สามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com หรือ โทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า

รับฟรีโค้ดเติมน้ำมัน

ปรึกษาพร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพียงฝากข้อมูลของคุณด้านล่าง