สำหรับผู้ที่ได้ใบขับขี่มาแรกๆ หรือเพิ่งออกรถใหม่ป้ายแดงมาจากศูนย์ การทำความรู้จักและเข้าใจความหมายของป้ายจราจรเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและเป็นไปตามกฎจราจรแล้ว ความสำคัญของป้ายจราจรอีกอย่างหนึ่ง คือ การช่วยลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ในบทความนี้ Pocket จะพาคุณไปทำความรู้จักกับป้ายจราจรประเภทต่างๆ ที่ควรรู้ก่อนมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่

ป้ายจราจร แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
ป้ายจราจร คือ สัญลักษณ์และอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการจราจร โดยมีลักษณะเป็นป้ายรูปทรงต่างๆ ที่มีสัญลักษณ์ติดเอาไว้อย่างชัดเจน โดยป้ายจราจรจะติดตั้งไว้ตามจุดต่างๆ ของท้องถนน เพื่อให้ผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือผู้ใช้ทางปฏิบัติตามเครื่องหมายเหล่านั้น หรืออาจเป็นการแจ้งข้อมูลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ทาง ซึ่งในประเทศไทย สามารถแบ่งป้ายจราจรออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. ป้ายบังคับ
ป้ายบังคับ คือ ป้ายจราจรที่มีความหมายเป็นการบังคับผู้ใช้เส้นทางให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด วัตถุประสงค์หลักของป้ายประเภทนี้คือการควบคุมการจราจรให้เป็นระเบียบและปลอดภัย โดยกำหนดให้ผู้ขับขี่กระทำหรืองดเว้นการกระทำบางอย่าง เช่น ห้ามเลี้ยวซ้าย ห้ามจอดรถ หรือจำกัดความเร็ว เป็นต้น
ผู้ขับขี่สามารถสังเกตป้ายบังคับได้จากลักษณะทั่วไปที่มักเป็นรูปกลม พื้นสีขาว มีขอบสีแดงล้อมรอบ และมีสัญลักษณ์หรือข้อความสีดำอยู่ตรงกลาง ป้ายบังคับบางประเภทมีรูปร่างแตกต่างออกไป เพื่อให้สามารถแยกแยะได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น ป้ายหยุดที่มีรูปทรงแปดเหลี่ยมสีแดงสด มีคำว่า "หยุด" ตัวอักษรสีขาว หรือป้ายให้ทางที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหัวกลับสีขาว ล้อมรอบด้วยขอบสีแดง
ป้ายบังคับที่พบเห็นบ่อย ได้แก่
- ป้ายหยุด - เมื่อพบป้ายนี้ ผู้ขับขี่จำเป็นต้องหยุดรถโดยสมบูรณ์ที่เส้นหยุด จากนั้นตรวจสอบความปลอดภัยโดยมองซ้าย-ขวา หากแน่ใจว่าปลอดภัยแล้วจึงค่อยเคลื่อนรถต่อไป การหยุดรถไม่สนิทถือเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรและอาจถูกปรับ หรือเกิดอุบัติเหตุได้
- ป้ายห้ามจอด - ป้ายนี้กำหนดว่าห้ามจอดรถทุกประเภทในบริเวณที่มีป้ายติดตั้งอยู่ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับการจอดชั่วขณะเพื่อรับ-ส่งผู้โดยสารหรือสิ่งของ โดยต้องทำอย่างรวดเร็วไม่ชักช้า
- ป้ายจำกัดความเร็ว - ป้ายประเภทนี้ระบุความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ในพื้นที่นั้นๆ โดยมีหน่วยเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง (กม./ชม.) เช่น 20 กม./ชม., 50 กม./ชม. หรือ 80 กม./ชม. เนื่องจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่ป้ายกำหนดถือเป็นการละเมิดกฎจราจรและอาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในบริเวณนั้นๆ
- ป้ายห้ามแซง - ป้ายนี้บ่งบอกว่าห้ามแซงหรือขับขึ้นหน้ารถคันอื่นในบริเวณที่มีป้ายติดตั้ง มักพบในพื้นที่ที่มีทัศนวิสัยจำกัด เช่น ทางโค้ง ทางลาดชัน หรือจุดที่มีการจราจรหนาแน่น หากฝ่าฝืนอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุกับรถที่สวนทางมา
2. ป้ายเตือน
ป้ายเตือน เป็นตัวช่วยแจ้งเตือนล่วงหน้าให้ผู้ขับขี่ทราบถึงสภาพถนนหรือสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายข้างหน้า ทำให้ผู้ขับขี่มีเวลาเตรียมตัวและปรับการขับขี่ให้เหมาะสม วัตถุประสงค์หลักคือการเพิ่มความระมัดระวังและความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ป้ายเตือนส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือสี่เหลี่ยมจัตุรัสตั้งมุมขึ้น พื้นหลังของป้ายเป็นสีเหลืองสว่าง ซึ่งช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในเวลากลางคืน และมีสัญลักษณ์หรือข้อความสีดำอยู่ตรงกลาง หรือหากเป็นป้ายเตือนงานก่อสร้าง จะมีพื้นหลังเป็นสีส้มแทน เพื่อให้สามารถแยกแยะป้ายเตือนได้รวดเร็ว
ป้ายเตือนที่พบเห็นบ่อย ได้แก่
- ป้ายเตือนทางโค้ง - ป้ายนี้แจ้งให้ทราบว่าข้างหน้ามีทางโค้ง ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนทิศทาง ป้ายมักระบุด้วยว่าเป็นทางโค้งซ้ายหรือทางโค้งขวา และในบางกรณีอาจบอกระดับความคมชัดของโค้งด้วย เช่น โค้งหักศอก
- ป้ายเตือนทางแยก - ป้ายที่เตือนว่าข้างหน้ามีทางแยกรูปแบบต่างๆ เช่น สี่แยก สามแยก หรือวงเวียน ซึ่งเป็นจุดที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุสูง ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังเมื่อเข้าใกล้ทางแยก
- ป้ายเตือนสัญญาณไฟจราจร - ป้ายนี้แจ้งให้ทราบว่าข้างหน้ามีการติดตั้งสัญญาณไฟจราจร ผู้ขับขี่ควรลดความเร็วและเตรียมพร้อมที่จะหยุดรถหากสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีแดง ป้ายนี้มักติดตั้งในพื้นที่ที่ทัศนวิสัยไม่ดี หรือเป็นจุดที่ติดตั้งสัญญาณไฟจราจรใหม่
- ป้ายระวังคนข้ามถนน - ป้ายเตือนว่าข้างหน้ามีทางสำหรับคนข้ามถนนหรือทางม้าลาย ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วและให้ทางแก่คนเดินเท้าที่กำลังข้ามหรือเตรียมจะข้ามถนน โดยเฉพาะในเขตโรงเรียนหรือชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน
3. ป้ายแนะนำ
ป้ายแนะนำ คือ ป้ายที่ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเส้นทางและสถานที่ต่างๆ แก่ผู้ขับขี่ เช่น ทิศทาง ระยะทาง หรือตำแหน่งของสถานที่สำคัญต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ช่วยให้เดินทางถึงจุดหมายได้โดยสวัสดิภาพ
ป้ายแนะนำส่วนใหญ่มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีทั้งแบบตั้งและแบบนอน สีของป้ายมักเป็นสีขาว สีน้ำเงิน หรือสีเขียว ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูล เช่น จุดกลับรถ ชิดขวา ทางออก ทางเข้า หรือชื่อเขตพื้นที่ที่ถนนเส้นดังกล่าวมุ่งหน้าไป และอาจสังเกตได้ว่าป้ายแนะนำในประเทศไทยมักมีข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษควบคู่กัน เพื่อให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้าใจได้
ป้ายแนะนำที่พบเห็นบ่อย ได้แก่
- ป้ายบอกทาง - ป้ายที่แสดงทิศทางและเส้นทางไปยังสถานที่ต่างๆ มักติดตั้งก่อนถึงทางแยกหรือจุดตัดถนน ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการเลี้ยวหรือเปลี่ยนเส้นทางได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ป้ายประเภทนี้มักระบุชื่อเมือง อำเภอ จังหวัด หรือสถานที่สำคัญพร้อมลูกศรบอกทิศทาง
- ป้ายบอกระยะทาง - ป้ายที่แสดงระยะทางจากจุดปัจจุบันไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประเมินเวลาและระยะทางที่เหลือในการเดินทาง ทำให้สามารถวางแผนการเติมน้ำมัน หรือจอดหยุดพักรถได้อย่างเหมาะสม
- ป้ายแสดงสถานที่สำคัญ - ป้ายที่บ่งบอกถึงสถานที่สำคัญในบริเวณนั้นๆ เช่น โรงพยาบาล สถานีตำรวจ สถานที่ท่องเที่ยว หรือสถานีบริการน้ำมัน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าป้ายจราจรแต่ละประเภทนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกัน ช่วยให้มือใหม่สามารถระบุประเภทและความสำคัญของป้ายได้อย่างรวดเร็ว แม้ในระยะไกลหรือในสภาพแสงที่ไม่เอื้ออำนวย โดยสามารถสรุปคร่าวๆ ได้ ดังนี้
- สีแดง - แสดงถึงการหยุดหรือห้าม เป็นสีที่สื่อถึงอันตรายและความเร่งด่วนสูงสุด เมื่อเห็นป้ายที่มีสีแดงเป็นหลัก ผู้ขับขี่ควรตระหนักว่ามีคำสั่งห้ามหรือข้อบังคับที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อยกเว้น
- สีน้ำเงิน - ใช้สำหรับป้ายบังคับที่กำหนดให้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตาม หรือป้ายให้ข้อมูลสำคัญ เช่น ป้ายบอกทางหรือสถานที่ให้บริการ สีน้ำเงินมักใช้เป็นพื้นหลังเพื่อให้ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์สีขาวเด่นชัดและมองเห็นได้ง่าย
- สีเหลือง - ใช้สำหรับป้ายเตือนให้ระวังอันตรายหรือสภาพถนนที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ สีเหลืองเป็นสีที่มองเห็นได้ชัดเจนแม้ในระยะไกลหรือในสภาพแสงน้อย ทำให้เหมาะสำหรับการเตือนล่วงหน้า
- สีส้ม - มักใช้กับป้ายเกี่ยวกับงานก่อสร้างหรือซ่อมบำรุงถนน เป็นสีที่เตือนให้ผู้ขับขี่ระมัดระวังเป็นพิเศษเนื่องจากสภาพถนนที่ไม่ปกติหรือมีคนงานปฏิบัติงานอยู่
ทำความเข้าใจเส้นจราจร
นอกเหนือจากป้ายจราจรแล้ว เส้นจราจรบนพื้นถนนก็เป็นส่วนสำคัญของระบบการจราจรที่ผู้ขับขี่ต้องเข้าใจ เส้นจราจรช่วยกำหนดช่องทางเดินรถ ขอบเขตการขับขี่ และกฎการแซงที่ปลอดภัย โดยมีสีและรูปแบบที่แตกต่างกันเพื่อสื่อความหมายเฉพาะ
เส้นจราจรสีขาว - ใช้สำหรับถนนที่มีการจราจรไปในทิศทางเดียวกัน
- เส้นทึบสีขาว หมายถึงห้ามแซงหรือเปลี่ยนช่องทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องอยู่ในช่องทางของตนและไม่ขับคร่อมเส้น มักพบในบริเวณที่ต้องการความระมัดระวังเป็นพิเศษ เช่น ทางโค้ง หรือพื้นที่ที่มีทัศนวิสัยจำกัด
- เส้นประสีขาว อนุญาตให้แซงหรือเปลี่ยนช่องทางได้ หากมีระยะปลอดภัยเพียงพอทั้งด้านหน้าและด้านหลัง การเปลี่ยนช่องทางต้องทำด้วยความระมัดระวังและต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยวก่อนทุกครั้ง
เส้นจราจรสีเหลือง - ใช้สำหรับถนนที่มีการจราจรสวนทางกัน หรือแบ่งแยกทิศทางการจราจรที่สวนทางกัน
- เส้นทึบสีเหลือง หมายถึงห้ามแซงหรือขับข้ามเส้นโดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นพื้นที่เสี่ยงที่อาจมีรถสวนทางมาและเป็นมุมอับสายตา การฝ่าฝืนอาจนำไปสู่การชนประสานงานกับรถที่สวนทางมา ซึ่งมักก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง
- เส้นประสีเหลือง อนุญาตให้แซงได้หากมีทัศนวิสัยที่ดีและเห็นว่าไม่มีรถสวนทางมา อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปลอดภัย และต้องกลับเข้าเลนของตนโดยเร็วที่สุดหลังจากแซงเสร็จ
การรู้จักและเข้าใจป้ายจราจรเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก การศึกษาและปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดไม่เพียงช่วยหลีกเลี่ยงการถูกปรับ แต่ยังเป็นการรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของตนเองและผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ อีกด้วย
ความสำคัญของป้ายจราจร สำหรับผู้ขับขี่
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ความสำคัญของป้ายจราจรนั้นมีหลายอย่าง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ยังไม่คุ้นชินกับการใช้รถใช้ถนน
1. เพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน - ป้ายจราจรช่วยเตือนและบังคับให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจร ซึ่งลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ
2. ลดความสับสนในการเดินทาง - ป้ายแนะนำช่วยให้ผู้ขับขี่ทราบทิศทางและระยะทาง ทำให้เดินทางถึงจุดหมายได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
3. ส่งเสริมการจราจรที่มีระเบียบ - ป้ายบังคับช่วยควบคุมให้ผู้ใช้ถนนปฏิบัติตามกฎกติกาเดียวกัน ทำให้การจราจรเป็นระเบียบและคล่องตัว
แนะนำประเภทประกันรถยนต์ ช่วยให้ปลอดภัยและอุ่นใจ จาก Pocket by LMG
สำหรับคนที่เพิ่งซื้อรถคันแรกหรือกำลังหัดขับบนถนนจริง การเลือกซื้อประกันรถยนต์ที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความกังวลเมื่อต้องขับขี่บนท้องถนน โดยได้รวบรวมข้อมูลประกันยนต์ 3 ประเภทมาแนะนำ
ประกันรถยนต์ชั้น 1
ประกันรถยนต์ชั้น 1 เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มขับรถหรือมือใหม่ เนื่องจากให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมและครบถ้วนมากที่สุด ทั้งการชนแบบมีและไม่มีคู่กรณี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความอุ่นใจมากที่สุดในการขับขี่
โดยประกันชั้น 1 ให้ความคุ้มครองครอบคลุมกรณีต่างๆ ดังนี้
- การชนแบบมีคู่กรณี - คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์กรณีชนกับยานพาหนะทางบก โดยมีวงเงินคุ้มครองตามทุนประกัน
- การชนแบบไม่มีคู่กรณี - คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อรถชนโดยไม่มีคู่กรณี เช่น ชนเสาไฟฟ้า ตอม่อ หรือสิ่งอื่นๆ ตามวงเงินคุ้มครองที่กำหนด
- รถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ - คุ้มครองกรณีรถถูกโจรกรรมหรือเกิดไฟไหม้ ไม่ว่าจะเป็นการไหม้จากตัวรถเองหรือจากสาเหตุอื่น
- ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ - คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว และลูกเห็บ
- ค่ารักษาพยาบาลและอุบัติเหตุส่วนบุคคล - ช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลและชดเชยกรณีเกิดอุบัติเหตุส่วนบุคคล
- ความเสียหายต่อบุคคลภายนอก - คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ ทางเลือกที่สมดุลระหว่างความคุ้มครองและราคา
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีความคุ้มครองที่ดีแต่ในราคาที่ถูกลงมา ประกันประเภทนี้ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่จะไม่คุ้มครองในกรณีการชนแบบไม่มีคู่กรณี ความคุ้มครองของประกันชั้น 2+ มีดังนี้
- การชนแบบมีคู่กรณี - คุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถยนต์กรณีชนกับยานพาหนะทางบก
- รถยนต์สูญหายหรือไฟไหม้ - คุ้มครองในกรณีที่รถถูกโจรกรรมหรือเกิดไฟไหม้
- ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ - คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติต่างๆ
- ค่ารักษาพยาบาล - เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชน
- ความเสียหายต่อบุคคลภายนอก - วงเงินคุ้มครองสำหรับความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อบุคคลภายนอก หรือคู่กรณี
ประกันรถยนต์ชั้น 3+
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่มีงบประมาณจำกัด แต่ยังต้องการความคุ้มครองที่จำเป็น ประกันประเภทนี้จะมีเบี้ยประกันที่ถูกกว่าประกันชั้น 1 และชั้น 2+ แต่จะมีความคุ้มครองที่น้อยกว่า โดยความคุ้มครองหลักของประกันชั้น 3+ มี ได้แก่
- การชนแบบมีคู่กรณี - คุ้มครองเฉพาะกรณีที่รถคุณชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น
- ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ - คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติต่างๆ
- ค่ารักษาพยาบาล - วงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาทต่อคน
- ความเสียหายต่อบุคคลภายนอก - มีวงเงินคุ้มครองเช่นเดียวกับประกันชั้น 2+
ตารางเปรียบเทียบประกันรถยนต์ | |||
รายละเอียดความคุ้มครอง | ประกันรถยนต์ชั้น 1 | ประกันรถยนต์ชั้น 2+ | ประกันรถยนต์ชั้น 3+ |
ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก | |||
- ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย | ✓ | ✓ | ✓ |
- ทรัพย์สิน | ✓ | ✓ | ✓ |
ความคุ้มครองตามเอกสารแนบท้าย | |||
- อุบัติเหตุส่วนบุคคล | ✓ | ✓ | ✓ |
- ค่ารักษาพยาบาล | ✓ | ✓ | ✓ |
- ประกันตัวผู้ขับขี่ | ✓ | ✓ | ✓ |
ความเสียหายต่อรถยนต์ | |||
- รถยนต์สูญหาย/ไฟไหม้ | ✓ | ✓ | - |
- การชนกับยานพาหนะทางบก | ✓ | ✓ | ✓ |
- น้ำท่วม | ✓ | - | - |
สุดท้ายนี้ การศึกษาและทำความเข้าใจป้ายจราจรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังจะออกสู่ถนนใหญ่ เนื่องจากป้ายจราจรแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และความสำคัญที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ขับขี่ควรจดจำเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน แน่นอนว่า การทำประกันรถยนต์เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองอย่างครอบคลุม ช่วยสร้างความอุ่นใจและลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
หากสนใจทำประกันรถยนต์ Pocket ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่เหมาะสม โดยสามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com/ หรือ โทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า