รถสตาร์ทไม่ติดทำยังไง บอกสาเหตุที่พบบ่อย พร้อมวิธีรับมือที่ควรรู้

ในช่วงเวลาที่เร่งรีบหรือตอนที่กำลังจะออกเดินทางไปท่องเที่ยว ปัญหารถสตาร์ทไม่ติด มักเป็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ ทำให้เจ้าของรถต้องใช้เวลาในการหาสาเหตุ และเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้รถกลับมาใช้งานได้ตามปกติ บางครั้งอาจเป็นปัญหาเล็กที่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ หรืออาจเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจถึงขั้นต้องนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมกันเลยทีเดียว 

การป้องกันนั้นย่อมดีกว่าการแก้ไข ดังนั้น Pocket จะมาบอกให้คุณรู้ถึงสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด วิธีแก้ไขเบื้องต้น พร้อมตอบคำถาม “รถสตาร์ทไม่ติดแจ้งประกันได้มั้ย” ที่หลายคนสงสัย

รถสตาร์ทไม่ติดทำยังไง บอกสาเหตุที่พบบ่อย พร้อมวิธีรับมือที่ควรรู้

รถสตาร์ทไม่ติดทำยังไง รู้ 5 สาเหตุที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีแก้ไข

1. แบตเตอรี่เสื่อม

แบตเตอรี่เสื่อมมักเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รถยนต์สตาร์ทไม่ติดตอนเช้า ทั้งที่เมื่อวานยังใช้งานได้ตามปกติ ซึ่งโดยทั่วไปแบตเตอรี่รถยนต์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี หากไม่ได้เปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด อาจมีอาการ เช่น มีเสียงแชะนานขึ้นเรื่อยๆ ก่อนรถจะสตาร์ทติด ไฟรถยนต์สว่างน้อยลงกว่าปกติ  หรือรถสตาร์ทติดยากหลังจอดไว้ข้ามคืน ในกรณีที่เสื่อมมากก็จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติดในที่สุด

วิธีการตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์เบื้องต้น คือ เมื่อเสียบและบิดกุญแจไปครึ่งรอบ หรือกดปุ่ม Engine Start-Stop แล้ว ให้สังเกตที่ไฟแสดงสถานะว่ามีสัญลักษณ์แบตเตอรี่หรือไม่ หากไม่ติดหรือเป็นสีแดง ให้สันนิษฐานไว้เลยว่าแบตเตอรี่กำลังเสื่อมสภาพแล้ว ดังนั้นจึงควรติดต่อศูนย์บริการหรืออู่รถยนต์ที่ใกล้ที่สุด เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ก่อนเดินทางต่อไป

ซื้อประกันรถยนต์กับ Pocket คุ้มค่าสุดๆ

2. ไดชาร์จเสื่อมหรือเสีย

ไดชาร์จ (Alternator) เป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญต่อการทำงานของระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ มีหน้าที่สร้างกระแสไฟจากการทำงานของเครื่องยนต์และส่งไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ หากไดชาร์จเสื่อมหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ แบตเตอรี่จะค่อยๆ หมดไป ซึ่งอาการของไดชาร์จเสื่อมนั้นจะคล้ายกับแบตเตอรี่เสื่อม เช่น ไฟหน้าเริ่มหรี่ รถสตาร์ทติดยาก แอร์เย็นน้อยลง เป็นต้น แต่จะมีอาการหนึ่งที่สังเกตได้ชัดเจน คือ รถยนต์ดับระหว่างขับขี่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้

โดยเจ้าของรถสามารถเช็คสภาพไดชาร์จได้ด้วยการถอดขั้วแบตเตอรี่ออกหนึ่งข้าง แล้วสตาร์ทรถไว้สักพักหนึ่ง หากรถมีอาการกระตุกหรือดับลง แสดงว่าไดชาร์จอาจเสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น สายไฟที่ต่อกับไดชาร์จหลุดหรือหลวม ฟิวส์ไดชาร์จขาด ซึ่งหากเห็นว่าอยู่ดีๆ แอร์ก็ไม่เย็น ไฟหน้าเริ่มไม่ค่อยสว่าง ก็ควรเข้าอู่ซ่อมรถโดยเร็วที่สุด

3. มอเตอร์สตาร์ทเสื่อมหรือเสีย

มอเตอร์สตาร์ทหรือไดสตาร์ท (Starter) คือ มอเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้ในการหมุนเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ขณะที่บิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทรถ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน สาเหตุที่ส่งผลให้มอเตอร์สตาร์ทเสื่อมสภาพมักเป็นเพราะพฤติกรรมการสตาร์ทรถในลักษณะที่บิดกุญแจค้างไว้จนไดสตาร์ทไหม้ ขับลุยน้ำท่วมสูงจนทำให้น้ำเข้าไดสตาร์ท สายไฟที่เชื่อมกับมอเตอร์ขาด หรือแปรงถ่าน (Carbon Brush) หมดอายุ 

อาการของมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม คือ บิดกุญแจแล้วไม่มีเสียงใดๆ ไฟแสดงสถานะติดครบ และแบตเตอรี่ยังคงใช้งานได้ปกติ แต่รถสตาร์ทไม่ติด หรือมีเสียงแชะๆ แล้วดับไป สามารถบอกได้ว่าไดสตาร์ทอาจมีปัญหา ซึ่งวิธีการแก้ไขคือการเปลี่ยนอะไหล่ไดสตาร์ทนั่นเอง

4. ปั๊มติ๊กไม่ทำงาน

ปั๊มติ๊ก ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของระบบเชื้อเพลิง เนื่องจากมีหน้าที่ในการส่งเชื้อเพลิงเข้าสู่คาร์บูเรเตอร์ หากปั๊มติ๊กเสื่อมก็จะไม่สามารถจุดระเบิดเครื่องยนต์ได้ ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด ซึ่งปั๊มติ๊กมักพบได้ในรถรุ่นเก่าที่ยังใช้คาร์บูเรเตอร์ เนื่องจากปัจจุบัน รถรุ่นใหม่ๆ นั้นจะใช้ปั๊มติ๊กไฟฟ้าที่ทำงานด้วยเฟืองและมอเตอร์ไฟฟ้าแทน ซึ่งติดตั้งอยู่ในถังน้ำมันตั้งแต่ต้น 

โดยสาเหตุที่ทำให้ปั๊มติ๊กเสื่อมหรือเสียนั้น ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการปล่อยให้น้ำมันเหลือน้อยเป็นประจำจนไฟเตือนน้ำมันขึ้นแสดง เนื่องจากระดับน้ำมันที่เหลือน้อยเกินไป ส่งผลให้ปั๊มไม่สามารถดูดน้ำมันขึ้นมา แต่เป็นการดูดอากาศแทน จนปั๊มเสียหายในที่สุด สำหรับเจ้าของรถที่ใช้ระบบคาร์บูเรเตอร์หรือผู้ที่ขับรถรุ่นใหม่ๆ ที่ใช้ปั๊มติ๊กไฟฟ้า ควรหมั่นเติมน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ปล่อยให้เหลือน้อยจนเกินไป เพราะหากปั๊มติ๊กเสีย ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่เท่านั้น

5. ปัญหาในระบบจุดระเบิด

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในระบบจุดระเบิด ไม่ว่าจะเป็นหัวเทียนที่ใช้งานมานานจนเสื่อมสภาพ คอยล์จุดระเบิดมีปัญหา สายไฟหลวมหรือขาด ซึ่งอาการที่มักพบได้บ่อยๆ คือ รถเริ่มสตาร์ทติดยากขึ้น หรือบิดกุญแจหลายทีกว่าเครื่องยนต์จะติด เร่งความเร็วแล้วรถกระตุก เครื่องยนต์ไม่มีกำลังเร่ง หรือมีการกินน้ำมันมากกว่าปกติ

วิธีการป้องกันปัญหาในระบบจุดระเบิดง่ายๆ คือ การหมั่นตรวจเช็คสภาพชิ้นส่วนและอะไหล่ต่างๆ แล้วเปลี่ยนตามระยะที่กำหนด เช่น เปลี่ยนหัวเทียนทุกๆ 20,000 - 40,000 กิโลเมตร เป็นต้น

การป้องกันปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเป็นสิ่งที่เจ้าของรถทุกคนควรให้ความสำคัญ แน่นอนว่าการดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันปัญหาเหล่านี้ โดยเริ่มจากการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามระยะที่กำหนด พร้อมหมั่นสังเกตความผิดปกติของรถและรีบแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

รถสตาร์ทไม่ติดแจ้งประกันได้มั้ย

มาถึงคำถามที่หลายคนสงสัย อันดับแรกต้องแยกกรณี “รถเสีย” และ “อุบัติเหตุ” ออกจากกัน เนื่องจากประกันรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 3+ หรืออื่นๆ โดยทั่วไปจะ ไม่คุ้มครองกรณีรถสตาร์ทไม่ติด เนื่องจากไม่ได้เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ แต่เป็นการเสื่อมสภาพจากการใช้งานรถยนต์ อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยบางรายอย่าง Pocket นั้นมอบสิทธิพิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้ถือกรมธรรม์อย่าง บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงฟรี ทั้งบริการเปลี่ยนยางอะไหล่ จั๊มแบตเตอรี่ บริการยกลาก และบริการให้คำปรึกษาทางเทคนิค มอบการช่วยเหลือบนท้องถนนหากรถยนต์เกิดมีปัญหากะทันหัน

ดังนั้นการเลือกซื้อประกันรถยนต์กับบริษัทที่เสนอบริการช่วยเหลือฉุกเฉินเพิ่มเติมจึงเป็นตัวเลือกที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนท้องถนน หากรถสตาร์ทไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็สามารถขอความช่วยเหลือได้ทันที ซึ่งที่ Pocket ให้การคุ้มครองที่ครบครันในราคาที่คุ้มค่า สิทธิพิเศษเพิ่มเติมมากมาย พร้อมให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างอุ่นใจ

สามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ เปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com/ หรือ โทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า

รับฟรีโค้ดเติมน้ำมัน

Want us to call you?