เรื่องควรรู้ก่อนดาวน์รถ ก่อนจ่ายควรเตรียมตัวอย่างไร

การซื้อ “รถยนต์” สักคันหนึ่งเป็นของตัวเองนั้นเป็นเป้าหมายของใครหลายคน ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้การเดินทาง การท่องเที่ยว และการไปทำงานสะดวกมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตัดสินใจซื้อรถนั้นต้องพิจารณาหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องการดาวน์รถที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ Pocket จะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนซื้อดาวน์รถ และการวางแผนการเงินให้เหมาะสมกัน

เรื่องควรรู้ก่อนดาวน์รถ ก่อนจ่ายควรเตรียมตัวอย่างไร

การดาวน์รถคืออะไร

การดาวน์รถ หรือการวางเงินดาวน์ (Down Payment) คือ เงินก้อนแรกที่ผู้ซื้อรถยนต์ต้องจ่ายให้กับผู้ขาย หรือบริษัทไฟแนนซ์ในวันแรกของการขอสินเชื่อ และใช้เพื่อลด “ยอดจัดไฟแนนซ์” (ยอดเงินคงเหลือจากราคารถที่หักลบกับเงินดาวน์) ซึ่งจะถูกนำไปคิดดอกเบี้ยในภายหลัง ปกติเงินดาวน์รถมักจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่ารถยนต์คันนั้นๆ ซึ่งอัตราเงินดาวน์ที่ต้องจ่ายจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงิน โดยอาจเริ่มต้นตั้งแต่ 10-40% ของราคารถ หรือในบางครั้งอาจมีข้อเสนอ “ดาวน์ 0%” หรือ Gift Voucher สมทบเงินดาวน์รถใหม่ ตามโปรโมชันส่งเสริมการขายหรือนโยบายของแต่ละบริษัท ยกตัวอย่าง เช่น ราคารถ 600,000 บาท หากดาวน์รถ 20% ก็ต้องจ่ายเงินเป็นจำนวน 120,000 บาท และอาจมี Gift Voucher อีก 30,000 บาท ช่วยเพิ่มเงินดาวน์เป็นทั้งหมด 150,000 บาท เป็นต้น

การวางเงินดาวน์รถยนต์นั้นอาจเป็นเสมือนการวางมัดจำเป็นเงินก้อน ซึ่งมีข้อดีหลายประการ เช่น

  • ช่วยลดภาระดอกเบี้ยและค่างวดรายเดือน - ยิ่งวางเงินดาวน์จำนวนมากเท่าไหร่ “ยอดจัดไฟแนนซ์” ก็จะลดลงมากเท่านั้น โดยสถาบันการเงินจะคำนวณค่าดอกเบี้ยจากยอดจัด นั่นหมายความว่า ผู้ซื้อรถจะจ่ายค่าดอกเบี้ยน้อยลง จ่ายค่างวดในแต่ละเดือนน้อยลง ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้มากขึ้น
  • เพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อ - ยิ่งวางเงินดาวน์รถมาก ยิ่งเพิ่มโอกาสที่ธนาคารหรือไฟแนนซ์จะอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น เพราะถือว่าผู้ซื้อมีความเสี่ยงต่ำ ไม่กลายเป็นหนี้เสีย
  • ปิดสินเชื่อรวดเร็วขึ้น - แน่นอนว่าเมื่อขอสินเชื่อน้อยลง จ่ายดอกเบี้ยน้อยลง จะช่วยให้สามารถปิดยอดสินเชื่อและหมดหนี้ได้ไวขึ้น 

วิธีคำนวณดาวน์รถเบื้องต้น

สำหรับใครที่กำลังวางแผนซื้อรถยนต์ แต่ไม่แน่ใจว่าต้องวางเงินดาวน์เท่าไหร่ สามารถใช้วิธีคิดคำนวณเงินดาวน์คร่าวๆ ที่ต้องเก็บรวบรวมได้ดังนี้

1. เงินดาวน์ = ราคารถ × เปอร์เซ็นต์ดาวน์

เช่น รถราคา 800,000 บาท ต้องการดาวน์รถ 25% ให้นำ 800,000 × 25% = เงินดาวน์ 200,000 บาท

2. ยอดจัดไฟแนนซ์ = ราคารถ - เงินดาวน์

เช่น รถราคา 800,000 - 200,000 = 600,000 บาท คือยอดที่ไฟแนนซ์จะนำไปคิดคำนวณดอกเบี้ยสินเชื่อ

วิธีคิดดอกเบี้ยผ่อนรถ 

เมื่อกำหนดดาวน์รถ ยอดจัดไฟแนนซ์แล้ว และเปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ยที่ไฟแนนซ์เสนอแล้ว สามารถนำตัวเลขทั้งสองมาคำนวณดอกเบี้ยผ่อนรถเบื้องต้น โดยยอดจัดไฟแนนซ์ 600,000 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ผ่อน 5 ปี ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้ 

1. ดอกเบี้ยรายปี = ยอดจัดไฟแนนซ์ × อัตราดอกเบี้ย

คือ 600,000 × 5% = 30,000 บาท

2. ดอกเบี้ยทั้งหมด = ดอกเบี้ยรายปี × จำนวนปีผ่อน

คือ 30,000 × 5 = 150,000 บาท

3. ยอดชำระทั้งหมด = ยอดจัดไฟแนนซ์ + ดอกเบี้ยทั้งหมด

600,000 + 150,000 = 750,000 บาท

4. ค่างวดต่อเดือน = ยอดชำระทั้งหมด ÷ จำนวนเดือนผ่อน

750,000 ÷ 60 = 12,500 บาท

สรุปแล้ว ยอดจัดไฟแนนซ์อยู่ที่ 600,000 จำนวนเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายคือ 750,000 บาท โดยจ่ายทั้งหมด 60 งวด หรือ 5 ปีนั่นเอง

ดาวน์รถยนต์เท่าไหร่ดี

จำนวนเงินดาวน์ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเงินของแต่ละคน แต่โดยทั่วไปอัตราดาวน์ที่แนะนำ ได้แก่

  • 20-30% ของราคารถ - เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนคงที่
  • 30-40% ของราคารถ - เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดภาระค่างวด
  • 40% ขึ้นไป - เหมาะสำหรับคนที่มีเงินเก็บหรือเงินเย็นจำนวนหนึ่ง และต้องการลดค่างวดให้เหลือน้อยที่สุด

ในบางกรณี ศูนย์รถยนต์บางแห่งอาจมีโปรโมชันดาวน์ต่ำถึง 10% หรือแม้กระทั่งฟรีดาวน์ แต่อาจแลกมาด้วยดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อรถ 

นอกจากการเตรียมพร้อมเงินดาวน์รถแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรคำนึงและไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ดังนี้ 

1. สถานะทางการเงิน

อันดับแรก แนะนำให้มีรายได้ต่อเดือนสม่ำเสมอ โดยควรมีรายได้ที่แน่นอนอย่างน้อย 3 เท่าของค่างวดรถ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถผ่อนชำระได้โดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากรายได้ไม่สม่ำเสมอ ควรคำนวณจากรายได้เฉลี่ยต่ำสุดในรอบ 1 ปี รวมถึงประเมินค่าใช้จ่ายคงที่ทั้งหมด เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค เพื่อดูว่าเหลือเงินสำหรับผ่อนรถเท่าไหร่ 

ต่อมาแนะนำให้คำนวณหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่ไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือหนี้บ้าน และต้องคิดให้ดีว่าหากเพิ่มภาระการผ่อนรถแล้วจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตหรือไม่

2. ค่าใช้จ่ายที่แฝงมา

แน่นอนว่าการซื้อรถยนต์นั้นไม่ได้จบแค่ค่ารถ แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่พ่วงตามมาด้วย เช่น

  • ค่าน้ำมัน เดือนละ 4,000-8,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ใช้และราคาน้ำมัน หากขับไปทำงานทุกวันในกรุงเทพฯ อาจใช้ถึง 8,000 บาท แต่ถ้าใช้เฉพาะวันหยุดอาจใช้แค่ 2,000-3,000 บาท
  • ค่าบำรุงรักษา ปีละ 6,000-12,000 บาท รวมค่าเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ค่าตรวจเช็ค และค่าซ่อมเล็กๆ น้อยๆ โดยทั่วไป รถใหม่ในช่วง 3 ปีแรกจะมีค่าซ่อมบำรุงที่น้อยกว่า แต่หลังจากนั้นอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการสึกหรอของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ
  • ค่าที่จอดรถ เดือนละ 1,000-3,000 บาท โดยเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องขับรถไปจอดตามห้างหรือสถานที่ต่างๆ และการจอดรถที่สำนักงานออฟฟิศ ซึ่งหลายแห่งมักคิดค่าจอดรถแบบรายเดือน
  • ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ ปีละ 15,000-30,000 บาท ขึ้นอยู่กับชั้นประกันที่เลือก โดยหากซื้อประกันรถยนต์ชั้น 1 อาจมีราคาสูงกว่า แต่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด ซึ่งเหมาะกับรถใหม่ป้ายแดงเป็นอย่างมาก

3. การเตรียมเอกสาร

เอกสารเบื้องต้นที่ต้องเตรียมได้แก่ สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือนที่ออกให้โดยบริษัทหรือนายจ้าง Statement ธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน รวมถึงหนังสือรับรองการทำงาน ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ อาจต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม เช่น เอกสารการค้า Statement ธนาคารย้อนหลัง 1 ปี และทะเบียนการค้าหรือพาณิชย์ เป็นต้น

การซื้อรถเป็นการลงทุนใหญ่ที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ เริ่มตั้งแต่การทำความเข้าใจการดาวน์รถ ไปจนถึงการคำนวณค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆ ตั้งแต่ค่าน้ำมัน ประกันรถยนต์ที่เหมาะสม และค่าบำรุงรักษาตามระยะการใช้งาน ซึ่งการเตรียมตัวให้ดีจะช่วยให้คุณได้รถในฝันโดยไม่กระทบสภาพคล่องทางการเงิน สามารถมีรถใช้ได้อย่างสบายใจและคุ้มค่ามากที่สุด

สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ชั้น 1 ประกันรถยนต์ชั้น 2+ หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ ทาง Pocket by LMG ขอนำเสนอแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ในราคาดี คุ้มค่า ซื้อง่ายและรวดเร็ว เรายินดีให้คำปรึกษาและแนะนำแผนประกันที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้รถใช้ถนนเป็นไปอย่างอุ่นใจ สามารถดูแผนประกันรถยนต์ออนไลน์ พร้อมเปรียบเทียบประกันรถยนต์ และเช็คเบี้ยได้ง่ายๆ ที่ www.pocketbylmg.com หรือโทร. 02-302-7788 เพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับแผนประกันที่ตอบโจทย์ในราคาที่คุ้มค่า

Want us to call you?